วันสำคัญทางพุทธศาสนากำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้งนั่นคือ วันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนอย่างชาวไทยคงจะเริ่มตระเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ไว้ทำบุญใหญ่กันอีกครั้ง
วันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวัน กำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้ง นั่นคือ วันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนอย่างชาวไทยคงจะเริ่มตระเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ไว้ทำบุญใหญ่กันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ภัตตาหาร เครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ ที่จะนำไปถวายพระ ทราบกันไหมว่าอาหาร หรือสิ่งของชนิดใดเหมาะสมที่จะนำมาถวายได้บ้าง

ที่จะช่วยให้การทำบุญ ได้บุญเต็มที่ไม่บกพร่อง เราต้องคำนึงถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่นำไปถวายด้วยว่าเป็นโทษหรือเป็นคุณต่อพระ เนื่องด้วยว่าพระท่านไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าไม่รับสิ่งนี้ ไม่ฉันสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มจัดถวายอาหาร สิ่งของให้พระสงฆ์อย่างถูกต้องกันเถอะ เพื่อให้ผลบุญนั่นสัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่จะไปจัดสิ่งของนั้น เรามาดูประวัติความเป็นมาของวันเข้าพรรษาก่อนว่าเป็นอย่างไร
วันเข้าพรรษา
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ เมื่อถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนา ที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล แต่ว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน ๑,๕๐๐ รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ
เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่าน เพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน
วันเข้าพรรษา หมายถึง วันที่พระภิกษุอธิษฐานจิตอยู่ประจำที่ ไม่จาริกไปค้างแรมตามสถานที่ต่างๆ เว้นแต่มีกิจจำเป็น เป็นระยะเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน คือตั้งแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่ง วันเข้าพรรษาปี 2563 นี้ ตรงกับวันที่ 6 กรกฎาคม 2563

การจำพรรษา จะมี 2 ระยะ
๑.“ปุริมพรรษา” หรือ “เข้าพรรษาแรก” นับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (วันออกพรรษา) แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน ก็จะเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ หลัง
๒. “ปัจฉิมพรรษา” หรือ “เข้าพรรษาหลัง” จะเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
เมื่อรู้ถึงประวัติความเป็นมาของวันเข้าพรรษาแล้ว พุทธศาสนิกชนทุกท่านก็ต้องรู้ถึงหลักทำบุญของการจัดอาหาร สิ่งของถวายพระสงฆ์ด้วยว่าควรทำอย่างไร สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่ต้องคำนึง ในช่วงเข้าพรรษา พระสงฆ์จะปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดเป็นส่วนใหญ่ มีรับกิจนิมนต์ข้างนอกบ้างบางครั้ง แต่จะไม่ได้ใช้แรงมากนัก
ดังนั้น ญาติโยมที่นำของไปถวาย หรือใส่บาตร ต้องเลือกอาหารที่ไม่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากการฉันท์อาหาร จากการญาติโยมนำไปถวายทำบุญ ซึ่งโรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุดใน 10 อันดับแรก ได้แก่
- โรคความดันโลหิตสูง
- เบาหวาน
- ถุงลมโป่งพอง
- โรคกระดูกเสื่อม
- ข้อเข่าเสื่อม
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคไขมันหลอดเลือดสูง
- โรคฟันผุ, เหงือกอักเสบ
- โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก
- โรคท้องเสีย
อาหารห้ามถวาย หรือใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์
ทั้งนี้เป็นอาหารต้องห้ามสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ได้แก่ เนื้อ 10 ชนิด รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อทั้ง 10 ชนิด นี้ คือ
- เนื้อมนุษย์ รวมทั้งเลือดมนุษย์ด้วย
- เนื้อช้าง
- เนื้อม้า
- เนื้อสุนัข
- เนื้องู
- เนื้อราชสีห์ (สิงห์โต)
- เนื้อเสือโคร่ง
- เนื้อเสือเหลือง
- เนื้อหมี
- เนื้อเสือดาว

นอกจากเนื้อสัตว์ทั้ง 10 ชนิดที่กล่าวมาแล้วนั้น อาหารที่ปรุงต้องไม่มีลักษณะ ดังนี้
- อาหารที่ปรุงไม่ได้ทำให้สุกด้วยไฟ เช่น เนื้อดิบ ปลาดิบ
- อาหารที่ใช้เนื้อสัตว์ที่ฆ่าเฉพาะเจาะจง เช่น ฆ่าปลา ฆ่าหมู เพื่อนำมาทำอาหารถวายพระภิกษุโดยตรง ถ้าพระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ ไม่ได้ยิน ไม่ได้สงสัย ว่าเขาฆ่ามาเพื่อเป็นอาหารเฉพาะเจาะจงแก่ตน สามารถฉันได้
- ผลไม้ที่ใช้เมล็เพาะปลูกได้ และเง่าที่ใช้เพาะปลูก เช่น หัวมัน หัวเผือก อนุญาติให้คนที่ไม่ใช่พระภิกษุทำให้เป็นของที่สมควรแก่สมณะก่อนจึงจะฉันได้
- อาหารที่ปรุงด้วยสุรา ที่มีสี มีกลิ่น หรือมีรสชาติปรากฎขึ้นมาว่ารู้ได้มีสุราเจือปน แต่ถ้าไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หรือไม่มีรสเกิดขึ้น สามารถฉันได้
อาหารที่เหมาะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์
- เนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้น เนื้อต้องห้ามทั้ง 10 ที่กล่าวมาข้างต้น
- เนื้อสัตว์ที่ฆ่าเฉพาะเจาะจงเพื่อมาทำเป็นอาหารถวายพระ แต่พระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าฆ่ามาเฉพาะเจ้าจงแก่ตน
- อาหารไม่ควรเน้นหนักไปทางแป้ง น้ำตาล ไขมัน สำหรับข้าวให้เป็น ข้าวกล้อง จะดีที่สุด

วิธีการจัดอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์
- ในเวลาเช้า ควรที่จะจัดอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กาแฟ ชา ขนมปัง เป็นต้น เพื่อที่พระภิกษุสงฆ์จะได้มีโอกาสในการฉันเพลได้ดี
- ในเวลาเพล ควรที่จะจัดอาหารประเภทอาหารหนัก ส่วนมากนิยมที่จะจัดอาหารไทย เนื่องจากจะถูกกับการกินอยู่ของไทยมากกว่า และควรที่จะเป็นอาหารตามท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นหลัก อาจจะมีอาหารพิเศาเพิ่มเข้าไปบางอย่างได้
- ของหวาน ควรที่จะหลีกเลี่ยงขนมหวานที่ทำจากกะทิ ขนมที่มีรสชาติหวานจัด อาจจะเปลี่ยนมาจัดผลไม้ตามฤดูกาลจะดีกว่า เช่น แตงโม ส้ม มะละกอ เป็นต้น

สรุป
การทำบุญถวายอาหาร ถวายสิ่งของ ตักบาตร เป็นเรื่องดี และเป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนสมควรทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอ แต่เราก็ต้องเลือกอาหารที่จะช่วยให้พระภิกษุสงฆ์มีสุขภาพดี จะยิ่งส่งเสริมบุญให้แก่ผู้ที่ทำมากขึ้นไปอีก